วันพฤหัสบดีที่ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2559

บทที่ 10

ใบความรู้ที่ ๑
เรื่อง การวิเคราะห์ปัญหาการเรียนการสอนเพื่อการนิเทศการศึกษา

         
ความหมายของ การวิเคราะห์ (analysis)  หมายถึงการแยกแยะทางความคิด หรือทางวัตถุของสิ่งใดสิ่งหนึ่ง หรือเรื่องใดเรื่องหนึ่ง เพื่อให้เห็นองค์ประกอบ เพื่อศึกษาองค์ประกอบหรือแยกแยะเพื่อให้เห็นความสัมพันธ์ขององค์ประกอบต่าง ๆ ที่ทำให้เกิดสิ่งนั้น หรือเรื่องนั้น ๆ
          การวิเคราะห์  หมายถึง การศึกษาค้นคว้าหรือการศึกษาหาคำตอบอย่างละเอียดรอบคอบตามกระบวนการวิเคราะห์ต่อประเด็นตามที่เกิดขึ้นเป็นการนำข้อมูลที่จัดทำไว้มาวิเคราะห์โดยเลือกใช้สถิติให้เหมาะสมกับวัตถุประสงค์ของการวิเคราะห์/วิจัย และลักษณะของข้อมูล สถิติ (
Statistics) หมายถึงศาสตร์แขนงหนึ่งซึ่งประกอบด้วยการเก็บรวบรวมข้อมูล การจัดหมวดข้อมูล การวิเคราะห์ข้อมูล และการแปลความหมายข้อมูล
          หลักเกณฑ์ในการเลือกหัวข้อในการวิเคราะห์ ประกอบด้วย องค์ประกอบ ๕ ประการด้วยกันคือ
๑.      ความสำคัญของปัญหา
๒.      ความเป็นไปได้
๓.      ความน่าสนใจและทันต่อเหตุการณ์
๔.      ความสนใจของผู้ที่จะวิเคราะห์/วิจัย
๕.      ความสามารถที่จะทำให้บรรลุผล

          ในการพิจารณาถึงความเหมาะสมหรือความสำคัญของปัญหา จากผลงานของ คาร์โล ลาสตรูซี
(
Corlo Lastrucci, ๑๙๖๗) เฟรด เคอร์ลินเจอร์ (Fred Kerlinger, ๑๙๖๔) และ อี เทเรนจ์ โจน
(
E. Terence Jones,๑๙๗๑) ได้แก่
          ๑. ความเด่นชัด (
Explicit) คือ การตั้งคำถามตรงๆ ว่าต้องการศึกษาอะไร ไม่วกวน
          ๒. ความชัดเจน (
Clear) คือระบุปัญหาโดยใช้ภาษาที่ง่าย กะทัดรัด และระบุขอบเขตไว้เฉพาะอย่างตายตัว
          ๓. เป็นความคิดริเริ่ม (
Original) คือควรเน้นปัญหาใหม่ ไปวิเคราะห์วิจัยในในสิ่งที่มีคำตอบอยู่แล้ว
          ๔. ทดสอบได้ (
Testable) คือเน้นปัญหาที่สามารถตอบได้ด้วยหลักฐานเชิงประจักษ์
          ๕. มีความสำคัญทางทฤษฎี (
Theoretically Significant) คือเป็นการเสริมสร้างหรือพัฒนาองค์ความรู้
          ๖. สำคัญต่อสังคม (
Socially Relevant) คือสามารถช่วยแก้ไขหรือให้คำตอบต่อสิ่งที่เป็นปัญหาในสังคมหนึ่งๆ ได้ เป็นที่น่าสังเกตว่าประโยคคำถามมักจะใช้คำว่า “อะไร” “ทำไม” “เท่าไร” “หรือไม่” “อย่างไร” ซึ่งเป็นเครื่องบ่งชี้ว่าต้องการให้คำตอบในลักษณะใด และนักวิเคราะห์วิจัยต้องการที่จะเก็บข้อมูลเกี่ยวกับอะไรบ้าง สัมพันธ์ระหว่างปรากฏการณ์ต่างๆ หรือไม่ สัมพันธ์กันอย่างไร มากน้อยเพียงใด และในทิศทางใด ซึ่งจะทำให้ภารกิจของนักวิเคราะห์/วิจัยยากขึ้นอีกระดับหนึ่ง
          สำหรับวัตถุประสงค์ของการวิเคราะห์/วิจัย ความแม่นตรง และความเชื่อถือได้ก็เพื่อให้ได้มาซึ่งความรู้ความเข้าใจยิ่งขึ้น เกี่ยวกับปรากฏการณ์ที่จะไปศึกษา ทั้งนี้โดยคำตอบที่ได้มาจะต้องเป็นคำตอบที่ถูกต้อง มีความเที่ยงตรง (Validity) และความเชื่อถือได้ (Reliable) หรือบางท่านเรียกว่าความตรงประเด็น
          ในประเด็นของการวิเคราะห์/วิจัยโดยยึดแนวทางทางวิทยาศาสตร์ (
Scientific Approach) เป็นการวิเคราะห์/วิจัยในการค้นหาคำตอบ ความแตกต่าง วิธีการศึกษาและหลักฐานในการใช้ประกอบการพิจารณาในการได้มาซึ่งคำตอบเป็นสำคัญตามแนวทางเชิงวิทยาศาสตร์ซึ่งเป็นเหตุและผลซึ่งกันและกัน ซึ่งเฟรดเดอริสันต์ (Fred N. Kerlinger, ๑๙๗๓) ได้ให้คำจำกัดความแนวทางวิเคราะห์/วิจัยเชิงวิทยาศาสตร์ไว้ว่า การวิจัยเชิงวิทยาศาสตร์เป็นการสอบสวน/ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับข้อความที่เป็นการคาดการณ์ถึงความสัมพันธ์ระหว่างปรากฏการณ์ต่างๆ ซึ่งการดำเนินการสอบสวนต้องมีลักษณะที่เป็นระบบ มีการควบคุม (Control) และยึดหลักฐานเชิงประจักษ์ โดยต้องมีการตรวจสอบอย่างเข้มงวดในทุกๆ ขั้นตอน ซึ่งได้สรุปขั้นตอนที่สำคัญๆ ไว้ ๔ ขั้นตอน ดังนี้
          ๑. ปัญหา-อุปสรรค-ระบุปัญหา
          ๒. สมมติฐาน
          ๓. การอนุมานและอุปมานโดยใช้เหตุผลเชิงตรรกะ(
Deductive and Inductive Logical Reasoning )
          ๔. สังเกตการณ์  ทดสอบ ทดลอง 
          การวิเคราะห์ เป็นพื้นฐานสำคัญของกระบวนการคิด ตามแนวคิดของ เบนจามิน บลูม
การนำกระบวนการวิเคราะห์ เอกสาร วิเคราะห์งาน วิเคราะห์ปัญหา จึงเป็นขั้นตอนสำคัญที่จะนำมาใช้ในการแก้ปัญหา มีความจำเป็นที่จะต้องกำหนดเป้าหมาย วิธีการใน การแยกแยะประเด็นปัญหา เปรียบเสมือนการสืบเสาะที่มา ต้นตอของปัญหา โดยค้นหาต้นตอของปัญหาที่แท้จริง
          ในการวิเคราะห์เรื่องราว เพื่อนำมาหาองค์ประกอบ ต้องมีหลักคิด ทฤษฎี และรูปแบบ
ที่เหมาะสมสอดคล้องกับเรื่องราวที่จะดำเนินการ โดยเฉพาะ ในทางการศึกษามีแนวคิด ทฤษฎีที่ได้รับการยอมรับว่ามีความเหมาะสมกับยุคสมัย ในการจัดการเรียนรู้ในแวดวงการศึกษาของประเทศไทย มีแนวคิด ที่นำมาเสนอให้ได้ศึกษาพอสังเขป
แนวคิด ทฤษฎีในการวิเคราะห์ และรูปแบบในการนำไปใช้พัฒนาการเรียนการสอน

๑. การบริหารการเปลี่ยนแปลงทางการศึกษา (
Management Change)
          เป็นแนวทางที่เกิดจาก วิวัฒนาการของแนวคิดทางการบริหารตามภาวการณ์ต่างๆ เช่น การบริหารแนววิทยาศาสตร์ มนุษยสัมพันธ์เชิงระบบและตามสถานการณ์ภาวการณ์ซึ่งเปลี่ยนแปลงไปตามแนว บริบทของสังคม (context) ทั้งด้านเศรษฐกิจ การเมือง สังคม สิ่งแวดล้อม และเทคโนโลยี ฯลฯ เป็นการเปลี่ยนแปลงที่ต้องบริหารแบบรู้ทัน มีวิสัยทัศน์โดยใช้ความรู้เดิมเป็นฐานจากนั้นนำมาวิเคราะห์เรียบเรียงศึกษาทำความเข้าใจ แล้วกำจัดจุดอ่อน เพิ่มจุดแข็ง เพื่อประโยชน์สูงสุด
          รูปแบบการบริหารการเปลี่ยนแปลง แบ่งได้เป็น ๓ แบบดังนี้
          ๑. ตามแนวคิดของ Kurt Lewin ประกอบด้วย
                   • การคลายตัว (unfreezing) เนื่องจากเกิดปัญหาจึงต้องเปลี่ยนแปลง
                   • การเปลี่ยนแปลง (changing) คือ การเปลี่ยนจากพฤติกรรมเก่า ไปสู่พฤติกรรมใหม่
                   • การกลับคงตัวอย่างเดิม (refreezing) เพื่อหล่อหลอมพฤติกรรมใหม่ให้มั่นคงถาวร
          ๒. ตามแนวคิดของ Larry Greiner โดยมีแนวคิดว่าการเปลี่ยนแปลงเกิดจากแรงบีบภายนอก กับแรงผลักดันภายใน และการที่การเปลี่ยนแปลงมีการเกิดขึ้นตลอดเวลา จึงต้องทำการ ศึกษาการเปลี่ยนแปลง ค้นหาวิธีการที่ดีกว่า ทดลองวิธีใหม่ หล่อหลอมข้อดีเข้าด้วยกัน เพื่อการบริหารการเปลี่ยนแปลงที่มีประสิทธิภาพ

          ๓. ตามแนวคิดของ Harold J. Leavitt  ที่เชื่อว่าการเปลี่ยนแปลงเกิดจากผลกระทบที่เกิดขึ้นตลอดเวลาของงานโครงสร้าง ซึ่งจะส่งผลกระทบเกี่ยวพันกัน มีผลกับประสิทธิภาพของงงาน
๒. ทฤษฎีการสร้างความรู้ด้วยตนเอง (Constructivism)
          มีรากฐานความเชื่อ มาจากทฤษฎีพัฒนาการทางเชาว์ปัญญาของเพียเจต์ และวีก็อทสกี้ 
          เพียเจต์
มีความเชื่อว่า คนทุกคนมีพัฒนาการเชาว์ปัญญาไปตามลำดับขั้น จากการมีปฏิสัมพันธ์และประสบการณ์ที่เกิดขึ้นกับสิ่งแวดล้อม และประสบการณ์ที่เกี่ยวกับการคิดเชิงตรรกะและคณิตศาสตร์ (logico mathematical experience) รวมทั้งการถ่ายทอดความรู้ทางสังคม (social transmission) วุฒิภาวะ (maturity) และกระบวนการพัฒนาความสมดุล (equilibration) ของบุคคลนั้น
          วีก็อทสกี้  มีความเชื่อว่า วัฒนธรรม และสังคม มีความสำคัญต่อการเรียนรู้ จากอิทธิพลที่ได้รับมาจากสิ่งแวดล้อมตั้งแต่แรกเกิด สิ่งแวดล้อมทางธรรมชาติ  และสิ่งแวดล้อมทางสังคม ที่เรียกว่าวัฒนธรรม ตั้งแต่สถาบันครอบครัว สถาบันทางสังคม ล้วนแต่มีอิทธิพลต่อพัฒนาการทางปัญญาของแต่ละบุคคล และนอกจากนั้น ภาษาก็เป็นเครื่องมือสำคัญของการคิดและการพัฒนาเชาว์ปัญญาขั้นสูง พัฒนาการทางภาษาและทางความคิดจะเริ่มจากการพัฒนาที่แยกจากกัน แต่เมื่ออายุมากขึ้น จะมีการพัฒนาร่วมกันทั้งสองด้าน
๓. ทฤษฎีการสร้างความรู้ด้วยตนเองโดยการสร้างสรรค์ชิ้นงาน (Constructionism)
          ทฤษฎีนี้มีรากฐานความเชื่อ มาจากทฤษฎีพัฒนาการทางเชาว์ปัญญาของเพียเจต์  เช่นเดียวกับทฤษฎีการสร้างความรู้ด้วยตนเอง (
Constructivism) พัฒนาขึ้นโดย Professor Seymour Papert
แห่งสถาบันเทคโนโลยีแมสซาชูเซตส์  
M.I.T. (Massachusette Institute of Technology)
เป็นทฤษฎีการเรียนรู้ที่เน้นผู้เรียนเป็นผู้สร้างองค์ความรู้ด้วยตนเอง  สาระสำคัญของทฤษฎี มีหลักคิดที่ว่า ความรู้ไม่ใช่มาจากการสอนของครู หรือผู้สอนเพียงอย่างเดียว แต่ความรู้จะเกิดขึ้น และถูกสร้างขึ้นโดยผู้เรียนเอง การเรียนรู้จะเกิดขึ้นได้ดีก็ต่อเมื่อผู้เรียนได้ลงมือกระทำด้วยตนเอง (
Learning by doing) มีพื้นฐานอยู่บนกระบวนการการสร้าง ๒ กระบวนการด้วยกัน
          ๑. ผู้เรียนเรียนรู้ด้วยการสร้างความรู้ใหม่ขึ้นด้วยตนเอง โดยความรู้จะเกิดขึ้นจากการแปลความหมายของประสบการณ์ที่ได้รับ หากเป็นประสบการณ์ตรงที่ผู้เรียนเป็นผู้กระทำด้วยตนเองจะทำให้เกิดการเรียนรู้อย่างมีคุณค่า
          ๒. กระบวนการการเรียนรู้จะมีประสิทธิภาพมากที่สุด หากกระบวนการนั้นมีความหมายกับผู้เรียนคนนั้น จะไม่ลืมเลือนไป สามารถถ่ายทอดให้ผู้อื่นได้ตามความคิดของตนเอง และสามารถสร้างความรู้ใหม่ต่อไปอย่างไม่มีที่สิ้นสุด

     ประสบการณ์ใหม่ / ความรู้ใหม่ + ประสบการณ์เดิม / ความรู้เดิม = องค์ความรู้ใหม่

๔. รูปแบบการจัดการเรียนรู้
Active Learning to Action Research (ALAR Model)

คำอธิบาย: https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjQl9c1hx1_-zuB4jukhSYJrMJ9POQjt1YSajDRGrfNXq_WyTe_V842jYKFq-vLhg0zKC3WitolaRhyJMm9F1t6wd83IgmIdUrbzyi6dAEMEoEFeJTUAv6JTPA3F6QzWrJS749muqz048ch/s400/alar.jpg

ใบความรู้ที่ ๒
เรื่อง เครื่องมือที่นิยมใช้ในการวิเคราะห์

SWOTS Analysis
S = Strength             จุดแข็ง     จุดเด่นของตนเองมีความสามารถอะไรบ้าง มากหรือน้อย
W = Weakness          จุดอ่อน    ข้อด้อยของเรา จุดอ่อนมากไปถึงน้อยสุด
O = Opportunity        โอกาสดีที่เรามีอยู่
T = Threats              อุปสรรคที่อาจจะเกิดขึ้น
S = Solve                 หาแผนทางแก้ปัญหาอุปสรรคที่อาจจะเกิดขึ้น

TOWS Matrix
          TOWS เป็นการวิเคราะห์ปัจจัยของเครื่องมือทางธุรกิจที่สุดคลาสสิค ด้วยเครื่องมือ SWOT และ TOWS เป็นตัวย่อของปัจจัยสำหรับการเตรียมการที่จะวิเคราะห์ความแตกต่างกันของ จุดแข็ง  จุดอ่อน  โอกาส และภัยคุกคาม 
          ด้วยการวิเคราะห์ สภาพแวดล้อมภายนอก (ภัยคุกคามและโอกาส) ของคุณ และ สภาพแวดล้อมภายใน (จุดอ่อนและจุดแข็ง) คุณสามารถใช้เทคนิคเหล่านี้วิเคราะห์ทีมงานของคุณทั้งกลยุทธ์ขององค์กร หน่วยงาน หรือคุณยังสามารถใช้วิเคราะห์กระบวนการทำงาน  แคมเปญการตลาด  หรือแม้แต่ประสบการณ์และทักษะของคุณเอง
 
การระบุตัวเลือกเชิงกลยุทธ์ :
TOWS หรือ SWOT Analysis ช่วยให้เข้าใจเกี่ยวกับวิธีการเลือกเชิงกลยุทธ์
การวิเคราะห์ที่มักเกี่ยวข้องกับปัจจัยภายนอกโดย TOWS Matrix ช่วยให้วิธีคิดเกี่ยวกับปัจจัยที่สามารถติดตามและมีผลกระทบต่อคุณโดยตรงจากสภาพแวดล้อมภายนอก (โอกาสและภัยคุกคาม) จากสภาพแวดล้อมภายใน (จุดแข็งและจุดอ่อน) ดังแสดงในเมทริกซ์ ข้างล่าง
คำอธิบาย: https://eiamsri.files.wordpress.com/2011/06/tows.gif?w=510&h=345
สามารถระบุทางเลือกเชิงกลยุทธ์ที่ตอบคำถามเพิ่มเติม ดังนี้
จุดแข็งและโอกาส (
SO)
- สามารถใช้จุดแข็ง เพื่อหาประโยชน์ที่ได้เปรียบเพื่อสร้างเป็นโอกาส
จุดแข็งและอุปสรรค (
ST)
- สามารถใช้ประโยชน์จากจุดแข็ง เพื่อหลีกเลี่ยงภัยคุกคามที่อาจจะเกิดขึ้นจริง
จุดอ่อนและโอกาส (
WO)
- วิธีการใช้โอกาสที่มี เพื่อเอาชนะจุดอ่อน
จุดอ่อนและอุปสรรค (
WT)
- สามารถลดจุดอ่อนและหลีกเลี่ยงภัยคุกคาม 
คำอธิบาย: https://eiamsri.files.wordpress.com/2011/06/tows-4.gif?w=381&h=208

SOAR Anlysis
S = Strength             จุดแข็ง     จุดเด่นของตนเองมีความสามารถ
O = Opportunities      โอกาสดีที่เรามีอยู่
A = Aspirations                    กระบวนการสร้างแรงบันดาลใจ
R = Results              ผลที่คาดว่าจะเกิดขึ้น
คำอธิบาย: http://www.seaphantom.com/images2/SOAR-post.jpg

ผังก้างปลา เป็นเครื่องมือทางการบริหารรูปแบบหนึ่ง ช่วยในการวิเคราะห์หาสาเหตุของปัญหาอันก่อให้เกิดผล โดยปกติจะใช้เป็นเครื่องมือในการประชุมระดมความคิดจากระดับหัวหน้างานและคนงาน
แผนผังที่ใช้แสดงความสัมพันธ์อย่างเป็นระบบระหว่างปัญหากับสาเหตุทั้งหมดที่เป็นไปได้ที่อาจก่อให้เกิดปัญหานั้นๆ
จะใช้แผนผังก้างปลาเมื่อไร
          ๑. เมื่อต้องการค้นหาสาเหตุแห่งปัญหา
          ๒. เมื่อต้องการทำการศึกษา ทำความเข้าใจ หรือทำความรู้จักกับกระบวนการอื่น ๆ เพราะว่าโดยส่วนใหญ่พนักงานจะรู้ปัญหาเฉพาะในพื้นที่ของตนเท่านั้น แต่เมื่อมีการ ทำผังก้างปลาแล้ว จะทำให้เราสามารถรู้กระบวนการของแผนกอื่นได้ง่ายขึ้น
          ๓. เมื่อต้องการให้เป็นแนวทางใน การระดมสมอง ซึ่งจะช่วยให้ทุกๆ คนให้ความสนใจในปัญหาของกลุ่มซึ่งแสดงไว้ที่หัวปลา 
ขั้นตอนการสร้างแผนผังก้างปลา
          ๑.
 ชี้บ่งปัญหาหรือผลกระทบที่กำลังประสบอยู่อย่างชัดเจน (กำหนดประโยคปัญหาที่หัวปลา)
          ๒. วางเป้าหมายที่องค์กรต้องการ โดยจะอยู่ในรูปที่สามารถวัดผลได้และอยู่ในขอบเขตเวลาที่กำหนด ทั้งนี้เพื่อให้การแก้ไขปัญหามีจุดมุ่งหมายสู่ความสำเร็จ
          ๓. จัดทำโครงสร้างของผังเบื้องต้น ช่วยให้เกิดความคิดสร้างสรรค์และคิดอย่างเป็นระบบ โดยอาจกำหนดกลุ่มปัจจัยที่จะทำให้เกิดปัญหานั้นๆ ส่วนมากมักจะใช้หลักการ M เป็นกลุ่มปัจจัย (Factors) เพื่อนำไปสู่การแยกแยะสาเหตุต่างๆ ซึ่ง M นี้มาจาก
          M - Man คนงาน พนักงาน หรือบุคลากรทั้งจากภายในและภายนอก
          M - Machine เครื่องจักรหรืออุปกรณ์อำนวยความสะดวก
          M - Material ผลิตภัณฑ์ บริการ วัตถุดิบหรืออะไหล่ อุปกรณ์อื่นๆ
          M - Method กระบวนการทำงาน
          E - Environment อากาศ สถานที่ ความสว่าง และบรรยากาศการทำงาน
หลังจากนั้นทำการระดมสมองเพื่อหาสาเหตุในแต่ละปัจจัย หาสาเหตุที่แท้จริงในแต่ละกิ่ง จัดลำดับความสำคัญของสาเหตุ โดยสามารถที่จะแตกตัวออกไปได้เรื่อยๆ จนถึงจุดซึ่งเป็นมูลเหตุอันแท้จริงของปัญหานั้น เพื่อหาแนวทางการปรับปรุงต่อไป โดยทั่วไปแล้วหัวข้อปัญหาควรกำหนดเป็นลบ ต้องชัดเจนมีความเป็นไปได้
 คำอธิบาย: https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgfvH6l8Off9ID9Zx3HQbhvsnWXMvPVl1IQyeJNCJtV83peZ6WYDRJcJa09Xrth9ZthtejKcK628z9DL89UeY9GBOEZCd9-xo6EtQgqq4tPVy-2CIJKJ2MuToVvyNqgg71-Wla0jBTPk4CZ/s400/66666.PNG

การเตรียมผังก้างปลา
          แทนที่หัวปลาด้วยปัญหา
          แต่ละก้างคือต้นตอสาเหตุที่แตกออกไป
          แยกหมวดหมู่ตามแต่ละก้าง
          ซึ่งสาเหตุของปัญหาจะเขียนไว้ในก้างปลาแต่ละก้าง
          ก้างย่อยเป็นสาเหตุของก้างรองและก้างรองเป็นสาเหตุของก้างหลัก
          การแบ่งแยกมูลเหตุของปัญหาไปตามแต่ละก้าง
          จะทำให้สามารถร่วมกันวิเคราะห์จนเห็นถึงจุดที่ก่อให้เกิดปัญหา
          ทำให้สามารถเรียงลำดับความสำคัญของสาเหตุ
          มองเห็นภาพขององค์ประกอบทั้งหมดที่จะเป็นสาเหตุของปัญหา






ใบความรู้ที่ ๓
เรื่อง ตัวอย่างการวิเคราะห์ปัญหา
จากการวิเคราะห์ระบบการศึกษาไทยพบว่ามีปัญหาใหญ่สรุปได้   ๕ ประเด็น ดังนี้
          ประเด็นที่ ๑. ปัญหาครูอาจารย์ ผู้บริหารและบุคลากรทางการศึกษาของประเทศส่วนใหญ่ ยังขาดความเข้าใจที่แท้จริงว่า การปฏิรูปการศึกษาที่แท้จริงคือการเปลี่ยนแปลงอย่างถึงราก เพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้นและแตกต่างไปจากเดิม เช่น การเปลี่ยนแปลงวิธีคิด วิธีทำงาน ของผู้บริหารการศึกษาและครูอาจารย์ ตลอดจนการเปลี่ยนแปลงหลักสูตร

          ประเด็นที่ ๒. ปัญหาการขาดภาวะผู้นำที่ตระหนักถึงรากเหง้าและความสำคัญของปัญหาการปฏิรูปการศึกษา โดยมองปัญหาการศึกษาอย่างเชื่อมโยงกับเรื่องอื่นในสังคมแบบเป็นองค์รวม และรู้จักจัดลำดับความสำคัญเร่งด่วนของปัญหา เพื่อก่อให้เกิดการผลักดันต่อการเปลี่ยนแปลงโดยสามารถปฏิรูปการศึกษาทั้งระบบได้อย่างแท้จริง

          ประเด็นที่  ๓. ปัญหาระบบคัดเลือก การบริหารและการให้ความดีความชอบครูอาจารย์ ผู้บริหารและ บุคลากรทางการศึกษา อยู่ภายใต้ระบบราชการแบบรวมศูนย์ จึงกลายเป็นอุปสรรคต่อการปฏิรูปทางการศึกษา ซึ่งระบบนี้ทำให้ครูอาจารย์ ผู้บริหารส่วนใหญ่ทำงานแค่ตามหน้าที่ไปวันๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งไม่มีการแข่งขัน การตรวจสอบและประเมินผล เพื่อประสิทธิภาพของงานอย่างแท้จริง

          ประเด็นที่ ๔. ปัญหาด้านประสิทธิภาพการใช้งบประมาณการศึกษาในแง่คุณภาพของผู้จบการศึกษา ทุกระดับต่ำกว่าหลายประเทศ ทั้งๆที่การจัดสรรงบประมาณการศึกษาของรัฐบาล คิดเป็นสัดส่วนต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมของประเทศ หรือกระทั่งพิจารณาในแง่งบประมาณประจำปีทั้งหมดพบว่าอยู่ในเกณฑ์สูงเมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ ตัวอย่างการใช้งบประมาณฯที่ไม่เกิดประสิทธิภาพเช่น นิยมนำงบประมาณแค่สร้างอาคาร สถานที่มากกว่าใช้เพื่อวัสดุอุปกรณ์ตลอดจนสื่อทางการศึกษา

          ประเด็นที่ ๕. ปัญหาระบบการประเมินผลและการสอบแข่งขันเพื่อรับการคัดเลือกเรียนต่อใน มหาวิทยาลัย รวมทั้งการศึกษาระดับอื่นๆ ยังเป็นเพียงการสอบแบบปรนัย เพื่อวัดความสามารถในการจำข้อมูล ซึ่งมีความขัดแย้งกับแนวคิดปฏิรูปการเรียนรู้แบบใหม่ที่เน้นการให้รู้จักคิดวิเคราะห์และสังเคราะห์เป็น








รายงาน

เรื่อง วิเคราะห์สรุปเนื้อหา บทที่  10

จัดทำโดย
นายทักษาปกรณ์  สีดาถม
รหัสนักศึกษา  5853010282
เสนอ
ดร.กาญจนมาโนชญ์  ขุนกอง
เป็นส่วนหนึ่งของวิชา การนิเทศ ED 6203
มหาวิทยาลัยเวสเทิร์น




ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น